แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ โฮสติ้งที่ไหนดี แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ โฮสติ้งที่ไหนดี แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Web Hosting ที่ไหนดี เว็บโฮสติ้งที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร บทวิเคราะห์เจาะลึก


ควรมีลักษณะการให้บริการอย่างไร
Web Hosting บริษัทไหนดีที่สุด

เว็บโฮสติ้ง (Web Hosting) ที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร

คำถามสุดจะคลาสสิคของคนทำเว็บ ตั้งแต่ คนทำเว็บบ้านๆ ธรรมดา ไปจนถึงเว็บบริษัท ที่มีระบบฐานข้อมูลที่สุดจะซับซ้อน ในฐานะที่เราเป็นฝ่าย IT , คนทำเว็บ, โปรแกรมเมอร์ คำถามแรกๆ คือ "แล้วฉันจะเลือกซื้อเว็บโฮสติ้ง(Web Hosting) บริษัทไหนดีละ" มันไม่แปลกที่คุณจะเกิดคำถามแบบนี้ เพราะคนขายนั้นมากเหลือเกิน จนเราไม่รู้จริงๆ ว่าบริษัทไหนดี 

คุณต้องติดต่อบริษัทผู้ให้บริการ Web Hosting ได้ตลอดเวลา

คนทำเว็บไม่ได้รู้ทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่อง Web Server หรือ Hosting

คุณต้องเข้าใจความจริงอย่างหนึ่งว่า เราอาจจะมีความรู้ในการทำเว็บหรือเขียนโปรแกรมทั้งภาษา HTML ไปจนถึงภาษาที่มีความซับซ้อนสูง แต่ในความเป็นจริงเราไม่ได้มีความรู้ในด้าน Hardware ระบบ OS และ Network เลย ดังนั้นเมื่อคุณเกิดปัญหาตั้งแต่ Run Script บางตัวไม่ได้ ไปจนถึง Server ล่ม สิ่งแรกที่คุณจะทำก็คือ ติดต่อผู้ให้บริการ เว็บโฮสติ้ง(Web Hosting) เพื่อปรึกษาหรือแก้ไขปัญหาของเราอย่างรวดเร็วที่สุด

จะเกิดอะไรขึ้นถ้า เว็บล่ม แล้วคุณติดต่อบริษัทผู้ให้บริการไม่ได้เลย

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเวลามีปัญหา หรือ Server ล่ม แล้ว ติดต่อผู้ให้บริการไม่ได้

คำตอบง่ายๆเลยก็คือ คุณจะถูกเจ้านายคุณด่าเป็นอย่างแรก เพราะเจ้านายของคุณไม่รู้หรอกว่า กว่าเว็บไซต์หรือ ระบบที่คุณใช้งานอยู่ ใช้กับบริษัทไหน เค้ารู้แต่ว่า ทำไมระบบมันล่ม หรือเข้าไม่ได้​ ซึ่งมีผู้ให้บริการเยอะมากที่ให้บริการตัวคนเดียว โดยอาจจะมีจุดเด่นที่ราคาถูก แต่ในประสบการณ์ของผม โปรดเชื่อว่ามันไม่คุ้มเลยที่จะมาประหยัดเอาของถูกๆ เพื่อแลกกับระบบ หรือ เว็บไซต์คุณทั้งเว็บไซต์

การสื่อสารเกี่ยวกับ Web Hosting เป็นเรื่องที่สื่อสารยากมาก

เอ่อ คือ ว่า ปัญหาที่ฉันเจอ ไม่รู้จะอธิบายให้คุณรู้และเข้าใจได้ยังไง

มันไม่ใช่เรื่องตลกที่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นจริงๆ โดยเฉพาะเรื่องเว็บไซต์ เช่น อยู่ดีๆ Upload เว็บขึ้นไปบน Server แล้วรูปไม่ติดรูปไม่ขึ้น แต่เวลาเปิดในเครื่องตัวเองดันติดขึ้นเฉยเลย แล้วผู้ให้บริการ Web Hosting คงไม่มาเสียเวลา ฟังปัญหาที่ดูตลกแบบนี้ แต่มันไม่ตลกสำหรับคุณเลย 

ต้องมีการให้บริการ Remote Support
การ Support ด้วยการ Remote ช่วยให้ บริษัทที่ให้บริการ Web Hosting
แก้ไขปัญหาของคุณได้เร็วมากขึ้น

Remote Support นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก

เพราะบริษัทผู้ให้บริการ Web Hosting  จะสามารถ Remote เข้ามาดูหน้าจอคอมพิวเตอร์ของคุณโดยที่คุณไม่ต้องเล่าปัญหาอะไรมาก เพราะว่าผู้ให้บริการเว็บโฮสติ้ง เห็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริงๆ บนจอของเค้าและ ผู้ให้บริการก็สามารถแนะนำหรือ ช่วยแก้ไขปัญหาให้ได้ ซึ่งในต่างประเทศการ Remote Support ถือเป็นเรื่องปกติมากๆ แต่ในประเทศไทยนั้นมี บริษัทผู้ให้บริการไม่กี่รายจริงๆ ที่สามารถให้บริการ Remote Support ได้ เนื่องจากต้องใช้ทั้งทรัพยากรซอฟต์แวร์ที่มีราคาสูงและเวลา แต่เชื่อเถอะ ว่ามันสำคัญ และ จะทำให้ปัญหาของคุณสามารถแก้ไขได้ง่ายมาก

บทความที่เกี่ยวข้อง
Web Hosting เว็บโฮสติ้ง คือ อะไร และ ทำงานอย่างไร
บริการพื้นที่สำหรับฝากเว็บไซต์ (Web Site) คือ อะไร และ ทำงานอย่างไ
Web Hosting ราคาถูก เว็บโฮสติ้งราคาถูกมีอยู่จริงหรือ ?
5 เหตุผล ที่ทำไมคุณควรเลือกซื้อ "เว็บโฮสติ้ง (Web Hosting)" กับ บริษัทใหญ่ๆ
Remote Support หรือการช่วยเหลือสำหรับ Web Hosting ด้วยการดูหน้าจอนั้น คือ อะไร
ทำไม Web Hosting (เว็บโฮสติ้ง) ที่ดี ถึงต้องมีการ Support แบบ Remote Support

บทความโดย
บริษัท เทคโนโลยีแลนด์ จำกัด
ผู้ให้บริการเว็บโฮสติ้ง (Web Hosting Provider)
ที่มีระบบ Remote Support และ มีระบบความปลอดภัยสูงสุดของประเทศไทย 

วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

วิธีเลือกซื้อ Web Hosting (เว็บโฮสติ้ง) ที่ไหนดีที่สุด พร้อม บทวิเคราะห์อย่างละเอียด

บทวิเคราะห์ที่ละเอียดที่สุดสำหรับการเลือกซื้อ
เว็บโฮสติ้ง (Web Hosting)

บทวิเคราะห์สำหรับการเลือกซื้อ เว็บโฮสติ้ง (Web Hosting) 


หลายๆคนที่มีเว็บไซต์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเว็บส่วนตัวหรือเว็บของหน่วยงานองค์กรบริษัทของตนเอง หากต้องการนำขึ้นเว็บสิ่งแรกที่ต้องมี คือ  เว็บโฮสติ้ง (Web Hosting) หรือ แปลตรงๆ ก็แปลว่าที่ฝากเว็บไซต์ ผู้เขียนในฐานะที่อยู่ในแวดวง Web Hosting มามากกว่า 10 ปี ขอให้ผู้ซื้อวิเคราะห์ข้อมูลของบริษัทที่ให้บริการ Web Hosting ก่อนที่จะทำการซื้อดังนี้



  1. Web Hosting ต้องไม่ล่มผู้ให้บริการ Web Hosting ต้องเป็นบริษัทที่มั่นคง



    ควรเลือกซื้อหรือเช่าเว็บโฮสติ้งจากบริษัทที่มีความมั่นคง


    เป็นเรื่องธรรมดาที่บริษัทที่มีความมั่นคงจะทำให้ลูกค้ารู้สึกเชื่อมั่น และเชื่อถือมากกว่าบริษัทเล็กๆ หรือ คนขาย Hosting ที่เป็นบุคคลธรรมดา แต่ในทางกลับกัน หากคุณเลือกซื้อ Web Hosting กับ บริษัทที่มีความมั่นคงหรือมีชื่อเสียง ราคานั้นก็จะสูงกว่าเจ้าอื่นๆ เพราะบริษัทใหญ่ๆ ต้องมีค่าบริหารจัดการที่ทำให้ Hosting ที่คุณใช้มีความเป็นมาตรฐาน แต่ผู้เขียนแนะนำว่าเป็นสิ่งที่คุณควรจะต้องจ่าย ไม่อย่างนั้น คุณอาจจะต้องประสบปัญหา เช่น โทรหาไปยังผู้ให้บริการ Hosting ไม่ได้เพราะปิดมือถือ ซึ่งเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นมากมาย และ ทำให้คุณต้องย้าย Hosting ในที่สุด
  2. ผู้ให้บริการส่วนมากมักจะโฆษณาว่า 99.999% Uptime

    การล่มของเว็บโฮสติ้งนั้นมีผลต่อธุรกิจของคุณ
    ซึ่งแปลว่า ซึ่งค่าเฉลี่ยที่ผู้เขียนวิเคราะห์ลงไปอย่างละเอียดจะเป็นดังนี้
    99.999% uptime = 5 นาที downtime / ปี
    99.99% uptime = 53 นาที downtime / ปี
    99.9% uptime = 8 ชั่วโมง 45 minutes downtime / ปี
    99% uptime = 3.65 วัน downtime / ปี

    ซึ่งแปลว่าทั้งปีห้ามล่มเกิน 5 นาที ซึ่งผู้เขียนมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะแค่เพียงทำการ Restart Server บางทีเผลอๆ ก็ใช้เวลาไปเกิน 5 นาทีแล้ว ซึ่งมันเกิดแน่นอนดังนั้นถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆ มันก็ควรจะเป็นช่วงเย็นเท่านั้น ไม่ใช้ตอนกลางวัน
  3. Server ต้องอยู่ใน Data Center จริงๆ
    Datacenter เป็นห้องที่ความมั่นคงสูง เช่น

    Server ของคุณต้องตั้งอยู่ใน Data Center
    3.1 ต้องมีอุณหภูมิและความชื้นคงที่  เหมาะสมตามค่ามาตรฐานสากล

    3.2 ต้องมีระบบป้องกันอัคคีภัยที่เป็นมาตรฐาน

    3.3 ต้องมีวิศวกรคอยควบคุมตลอดเวลา
    ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อความเสถียร และความปลอดภัยของ Server ซึ่งคุณได้ใช้อยู่ แต่ก็ต้องยอมรับราคาที่อาจจะสูงกว่าปกติด้วย
  4. ต้องมีความปลอดภัย

    SSL คือ ใบรับรองความปลอดภัยของข้อมูล


    ผู้ให้บริการไม่กี่รายนักในประเทศไทย ที่ได้มีการเก็บข้อมูลของลูกค้าด้วยการเข้ารหัส ที่ได้รับรับรอง SSL Certificate หรือ ใบรับรองความปลอดภัย ซึ่ง SSL Certificate เป็นสิ่งที่สำคัญและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ว่าการทำธุรกรรมต่างๆ ระหว่างคุณกับผู้ให้บริการ Web Hosting นั้นมีความปลอดภัยที่สุด

  5. Support เป็นหัวใจและสิ่งสำคัญที่สุด

    การให้บริการลูกค้าด้วยทีมวิศวกรที่มีความเป็นมืออาชีพ นั้นเป็นหัวใจที่สำคัญ


    5.1 Live Chat
    Live Chat เป็นรูปแบบการ Support ที่ผู้ให้บริการ Web Hosting ที่มีมาตรฐานจะให้ลูกค้าได้ใช้บริการ ซึ่ง Live Chat ค่อนข้างสำคัญมาก จากมุมมองผู้เขียนเพราะบางทีต้องส่งข้อมูลซึ่งเป็น ตัวอักษรยึกยือ ซึ่งบางทีการโทรคุยกันอาจจะไม่สะดวก หรือทางอีเมล์ ต้องใช้เวลานานกว่าจะได้คำตอบ


    5.2 Remote Support

    เป็นการช่วยเหลือเว็บโฮสติ้งที่ดีที่สุด
    การ Support ด้วยการควบคุมหน้าจอจากระยะไกล 


    Remote Support เป็นรูปแบบการให้บริการที่ดีที่สุด ที่มีผู้ให้บริการ Web Hosting ไม่กี่รายในประเทศให้บริการ Support ในรูปแบบนี้ เนื่องจากต้องใช้ทั้งทรัพยากรทีมวิศวกร, เวลา, Software และอุปกรณ์ด้าน Hardware ซึ่งเป็นอุปสรรคที่ผู้ให้บริการ Web Hosting ไม่สามารถให้บริการในรูปแบบนี้ได้เพราะมีราคาสูง
    ในมุมมองผู้เขียนมองว่าการ Remote Support เป็นการ  Service ที่ดีที่สุด เพราะว่า วิศวกรของบริษัทผู้ให้บริการนั้นสามารถมองเห็นปัญหาจากหน้าจอของคุณจริงๆ และสามารถเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาได้ทันที

    5.3 Email หรือ Ticket Support 
    เป็นรูปแบบการให้บริการ Support พื้นฐานที่ทุกบริษัทที่ให้บริการด้าน Web Hosting ควรที่จะมี หากไม่มีข้อนี้ คุณควรเปลี่ยนเจ้าโดยทันที เพราะอาจจะทำให้คุณติดต่อผู้ให้บริการไม่ได้

    5.4 Call Support
    เป็นรูปแบบบริการพื้นฐาน เช่นเดียวกัน จากประสบการณ์​ของผู้เขียนที่ได้พูดคุยกับโปรแกรมเมอร์จำนวนมาก มักพบว่าบริษัทหรือหน่วยง่ายหลายๆที่ ไม่ได้ให้ลูกค้าคุยกับวิศวกร แต่กลับให้เจ้าหน้าที่ที่ไม่มีความรู้ในการแก้ไขปัญหามารับสายหรือรับเรื่องเอาไว้ ซึ่งทำให้ปัญหาของคุณถูกดองไว้ ซึ่งเสียเวลาและเกิดความไม่สะดวกกับทางคุณเช่นเดียวกัน

บทความที่เกี่ยวข้อง

บริษัท เทคโนโลยีแลนด์ จำกัด
ผู้ให้บริการเว็บโฮสติ้ง มาตรฐานสูงสุดสำหรับองค์กรและธุรกิจ

10 เหตุผลที่ไม่ควรใช้อีเมล์ที่ถูกแถมมากับ Web Hosting (เว็บโฮสติ้ง)


หรือ Share Web Hosting
10 เหตุผลที่ทำไม คุณไม่ควรเลือกใช้อีเมล์ที่ถูกแถมมากับ Web Hosting


หลายๆคนที่กำลังตัดสินใจเลือกซื้อ Web Hosting ซึ่งไม่ผิดหากคุณต้องซื้อของที่ถูกที่สุด พร้อม Function ครบถ้วน เช่น พื้นที่จัดเก็บเว็บต้องมีเยอะBanwidth เยอะๆ, มีฐานข้อมูล MySql และ รองรับภาษาโปรแกรมที่ตนเองเขียน เช่น PHP เป็นต้น  แต่คุณคิดผิดทันทีหากคุณต้องการใช้ Email ที่ถูกแถมมากับ Web Hosting

10 เหตุผลที่คุณไม่ควรใช้อีเมล์ที่ถูกแถมมากับ Web Hosting

  1. Web Hosting ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการทำงานแบบเว็บ จริงๆ และ ผู้ขายก็ต้องแบ่งขายให้ได้มากที่สุด เพื่อให้คุ้มทุน ดังนั้นคุณก็ต้องไปใช้ Email กับ คนอื่นๆ เป็นจำนวนมาก
  2. ในหนึ่งเครื่องประกอบไปด้วยเว็บเป็นร้อยๆ พันๆ เว็บ แต่ละเว็บก็มีอีเมล์เป็นของตัวเอง ยกตัวอย่าง Server A มี Web ที่ใช้ Server  เดียวกัน 1,000 เว็บ ลองนึกเอาเล่นๆ ว่าแต่ละเว็บมีอย่างน้อย 1 อีเมล์ เท่ากับว่า Server A มีอีเมล์ทั้งหมด 1,000x10 = 10,000 Account อีเมล์ของคุณมันก็แค่เสี้ยวเล็กๆในนั้น ซึ่งมันต้องมีปัญหาการใช้งาน
  3. จากข้อ 2 คุณจะพบกับปัญหารับอีเมล์ได้ช้า เช่น มีเพื่อนส่งอีเมล์มาให้คุณกว่าที่คุณจะเห็น อีเมล์คุณก็ต้องเข้าคิวกับ Email เป็น 10,000 เมล์ ซึ่งก็ไม่แปลกที่กว่าคุณจะได้รับเมล์ จะช้าหรือ Delay
  4. จากข้อ 2 ก็เช่นกัน การส่งอีเมล์ไปหาคนอื่นคุณอาจจะต้องเรียงคิวเป็นหมื่นๆ กว่าเมล์ตัวเองจะได้ส่งออกไป ทำให้ ผู้รับกว่าจะได้รับเมล์คุณก็ต้องรอนานมาก
  5. Web Hosting หรือ Web Server มีเพียง 1 IP, แต่ใช้กันเป็นร้อยๆพันๆเว็บ เมื่อ Email Account ใด Account หนึ่ง ไปทำสิ่งผิดๆมา เช่น ส่ง Spam แทนที่ผู้รับจะ Block Email นั้นคนเดียว มันก็ Block Email ทั้งหมดที่อยู่ใน Server นั้น มันก็จะทำให้คุณส่งอีเมล์ไม่ออก หรือ ออกบางฉบับ
  6. เมื่อ IP ของ Server คุณ โดน Block, Admin หรือผู้ดูแล สามารถไปแก้เป็น White List (หรือ ปลด Block ซึ่งใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน) แต่ อีกไม่นานมันก็จะติด Black List อีก และ มันก็จะเป็นวงจรอย่างนี้ไปเรื่อยๆอีก
  7. มีผู้ให้บริการ Web Hosting น้อยมากที่จะสามารถแก้ไขข้อ 6 ได้อย่างถาวร นอกจาก เป็น Hosting ของ ISP รายใหญ่ของประเทศจริงๆ ซึ่งเค้าจะมีความเข้มงวดและมีข้อจำกัดการส่งของ Email แต่ละ Accont มาก
  8. Web Hosting ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการทำงานของเว็บและฐานข้อมูลเป็นหลัก ดังนั้น เรื่องอีเมล์มันเป็นแค่ Function เดียวในนั้น ซึ่งมันก็ย่อมทำให้เกิดปัญหาการใช้งาน เพราะมันไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อระบบ Email Server โดยเฉพาะ
  9. หากคุณใช้ Email ในการติดต่อธุรกิจเป็นหลักจริงๆ ผู้เขียนแนะนำเป็นอย่างยิ่งให้เลือกใช้บริการกับ ผู้ให้บริการ Email Hosting หรือ Email Server โดยเฉพาะ
  10. ถ้า IP ของเครื่อง Web Hosting ไม่มี PTR Record (ซึ่งเป็นค่าทางเทคนิคค่าหนึ่ง ที่ ISP ต้องเป็นผู้รับรอง) หากไม่มี Email ของคุณก็อาจจะส่งไปหาอีเมล์บางกลุ่มไม่ได้

บทความที่เกี่ยวข้อง